ผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักมีความรู้สึกได้ถึงเสียงของยางที่เกิดขึ้นในขณะขับรถ ซึ่งจะมีลักษณะของเสียงแตกต่างกันออกไป และเสียงที่ท่านได้ยินเหล่านั้นอาจมาจากแหล่งกำเนิดเสียงต่างๆ จนบางครั้งไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่ามาจากที่ใดบ้าง คราวนี้เราลองมาดูกันว่าเสียงยางที่เกิดขึ้นขณะขับรถอยู่นั้นมีกี่ชนิด และเกิดขึ้นได้อย่างไร

          1. เสียงดอกยาง (Pattern noise) ขณะยางวิ่งสัมผัสพื้นถนน สาเหตุเกิดจากอากาศที่ถูกอัดอยู่ภายในร่องของดอกยางกับพื้นผิวถนน เมื่อยางวิ่งต่อไปอากาศจะขยายตัวออกจากร่องยาง ทำให้เกิดเสียงขึ้น และเสียงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่คงที่ จนเป็นสาเหตุเสียงให้เกิด "เสียงดอกยาง"
          2. เสียงแหลม (Squeal) เสียงแหลมดัง "เอี๊ยด" เกิดจากการสั่นสะเทือนของบริเวณหน้ายางที่กระทำกับผิวถนนในชั่วเวลาหนึ่ง ขณะที่ออกรถ หรือ หยุดรถอย่างกระทันหัน หรือ ขณะเลี้ยวรถมุมแคบอย่างทันทีทันใด เสียงดังกล่าวเป็นตัวชี้ให้ทราบว่าผู้ขับรถได้ใช้งานจนเกินความสามารถของยางที่จะรับได้ ความสามารถในการยืดเกาะถนนจะลดลงอย่างมาก และทำให้เกิดผลเสียดังนี้
                   - ออกรถกระทันหัน ล้อหมุนฟรีดอกยางสึกหรออย่างรวดเร็ว และ ทำให้หน้ายางไม่เรียบ
                  - หยุดรถกระทันหัน ล้อล็อคตายแต่ยังคงไถลไปกับพื้นถนน หน้ายางสึก หรือ ยางไหม้ ทำให้ความฝืดระหว่างหน้ายางกับผิวถนนลดลงจนเป็นสาเหตุให้รถลื่นไถลจนเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
                  - เลี้ยวรถมุมแคบทันทีทันใด ยางลื่นไถลออกทางด้านข้าง ทำให้ควบคุมพวงมาลัยไม่ได้ เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ดอกยางสึกหรออย่างรวดเร็ว
            3. เสียงถนน (Road noise) ผิวถนนในปัจจุบันนี้มีอยู่มากมายหลายประเภท เช่น คอนกรีตผิวเรียบ, คอนกรีตมีร่องเล็กๆ ตามแนวขวาง, ทางลูกรัง เป็นต้น ทำให้เวลาขับรถผ่านผิวถนนดังกล่าวจะเกิดเสียงที่แตกกันออกไป สำหรับผิวถนนที่เรียบละเอียดนั้นเสียงที่เกิดจากผิวถนนอาจจะคล้ายกับเสียงดอกยาง
            4. เสียงสะเทือน (Elastic vibration noise) เสียงนี้เกิดขึ้นจากความสั่นสะเทือนของยางเมื่อวิ่งผ่านผิวถนนที่มีสภาพผิดปกติ เช่น เป็นหลุม, แตกร้าว
             5. เสียงดอกยางบิดตัว (Slip noise) เป็นเสียงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบิดตัวไม่สัมผัสถนนของดอกยางบางส่วนเกิดขึ้นในขณะเลี้ยวโค้ง แต่ไม่รุนแรงถึงกับหน้ายางลื่นไถล

ที่มา: บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด